Noun หรือ คำนาม

Noun หรือ คำนาม

Noun หรือ คำนาม คือคำที่ใช้แทนบุคคล สัตว์  สิ่งของ สถานที่ การกระทำ หรือความคิด ทั้งที่เป็นรูปธรรม และนามธรมม คำนามช่วยให้เราสร้างบริบทและเนื้อหาให้กับภาษา ทุกครั้งที่เราอ้างถึงชื่อของคน สถานที่เฉพาะ วัตถุ หรือแนวคิดนึง ก็คือการใช้คำนาม เราสามารถแบ่งประเภทคำนาม เป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ดังนี้

ประเภทของ Noun แบ่งออกเป็น 7 ประเภท

1. Common Noun (คำนามทั่วไป) คือ เป็นคำนามทั่วไปที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ การกระทำ ความคิด หรือความรู้สึก โดยไม่เฉพาะเจาะจง มีทั้งนับได้ (Countable) และนับไม่ได้ได้ (Uncountable) คำนามทั่วไปไม่ต้องเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ยกเว้นถ้ามันอยู่ที่จุดเริ่มของประโยค เช่น

คน : father (พ่อ), mother (แม่), man (ผู้ชาย), woman (ผู้หญิง), teacher (ครู), student (นักเรียน), doctor (หมอ), friend (เพื่อน)

สัตว์ : dog (สุนัข), cat (แมว), bird (นก), fish (ปลา), snake (งู), elephant (ช้าง), rabbit (กระต่าง), tiger (เสือ) lion (สิงโต)

สถานที่ : city (เมือง), park (สวนสาธรณะ), restaurant (ร้านอาหาร), beach (ชายหาด

สิ่งของ : pen (ปากกา) , book (หนังสือ), car (รถยนต์), table (โต๊ะ), computer (คอมพิวเตอร์)

ความคิด ความรู้สึก : freedom (เสรีภาพ), love (ความรัก), happiness (ความสุข), anger(ความโกรธ), justice (ความยุติธรรม), creativity (ความคิดสร้างสรรค์)

common-noun
  • Countable Noun คำนามนับได้ คือ คำที่ระบุได้ว่ามี กี่ชิ้น กี่อัน กี่ตัว กี่แห่ง สามารถอยู่ในรูปได้ทั้ง เอกพจน์ (singular) และ พหูพจน์ (plural)

มีตัวตน เช่น car (รถ), pen (ปากกา), book (หนังสือ), table (โต๊ะ), chair (เก้าอี้), dog (หมา), bird (นก), clock (นาฬิกา), ring (แหวน), apple (แอปเปิ้ล), orange (ส้ม) เป็นต้น

ไม่มีตัวตน เช่น song (เพลง), day (วัน), month (เดือน), year (ปี), hour (ชั่วโมง),  job (งาน), age (อายุ), country (ประเทศ) etc.

  • Uncountable Noun คำนามนับไม่ได้ เป็นคำนามที่เป็นมวลสาร ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของของเหลว จะอยู่ในรูปของเอกพจน์เท่านั้น

มีตัวตน เช่น wood (ไม้), iron (เหล็ก), gold (ทอง), rice (ข้าว), sugar (น้ำตาล), water (น้ำ)

ไม่มีตัวตน เช่น love (ความรัก), happiness (ความสุข), anger(ความโกรธ, music (เพลง), information (ข้อมูล

2.Proper Noun (คำนามเฉพาะ) คือ คำที่เป็นชื่อเฉพาะเจาะจงไม่ว่าจะเป็น ชื่อคน ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่ ชื่อบอกระยะเวลา ชื่อยี่ห้อสินค้า เป็นต้น และจะเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ ตรงข้ามกับคำนามทั่วไป  เช่น John (จอห์น), Paris (ปารีส), Nike (ไนกี้), Thailand (ประเทศไทย) หรือ Christmas (คริสต์มาส)

ชื่อส่วนบุคคล : เป็นชื่อที่ระบุบุคคลเฉพาะ ชื่อส่วนบุคคลแสดงถึงเอกลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของบุคคลแต่ละคนและเป็นสิ่งสำคัญในการแยกแยะบุคคลต่าง ๆ

ชื่อภูมิศาสตร์ : คำนามพิเศษทางภูมิศาสตร์ระบุที่ตั้งที่เฉพาะบนโลก ตั้งแต่ทวีป ประเทศ ไปจนถึงเมือง แม้ถึงแม่น้ำและที่สำคัญ 

ชื่อแบรนด์ : ชื่อแบรนด์แยกแยะผลิตภัณฑ์ บริษัท และองค์กรในโลกพาณิชย์ เป็นที่รู้จักในแวดวงการค้า ที่พวกเขาทำให้เกิดการรับรู้และสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ 

ตำแหน่งและคำให้เกียรติ : ชื่อตำแหน่ง หรือ เป็นคำนามพิเศษเมื่อใช้กับชื่อบุคคล ซึ่งแสดงถึงบทบาทหรือสถานะของบุคคลนั้น ชื่อเหล่านี้แสดงถึงความเคารพและสื่อถึงสถานะทางวิชาชีพหรือทางสังคม

บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และวรรณกรรม: คำนามเฉพาะยังหมายรวมถึงชื่อของบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ ผู้แต่ง ศิลปิน และตัวละครเพิ่มเติมที่มีผลกระทบให้กับวัฒนธรรมและสังคม

3.Abstract Noun (คำนามนามธรรม) คือ คำนามที่ไม่มีรูปร่าง แสดงถึงความคิด เรื่องราว อารมณ์ การกระทำ สถานะ สภาวะ ความรู้สึก และแนวคิดที่ไม่สามารถรับรู้ได้ผ่านประสาททางสัมพันธ์ทั้ง 5  ซึ่งจะแตกต่างจากคำนามที่เชิงสิ่งของ เมื่อแปลเป็นภาษาไทยมักจะมีคำว่า การ หรือ ความ นำหน้า เช่น

คำนามที่มาจาก verb 

to imagine –> imagination การจินตนาการ

to decide —> decision การพิจารณา

to prefer –> preferrence ความพึงพอใจ

คำนามที่มาจาก adj.

able –> ability (ความสามารถ)

high –>  height (ความสูง)

beautiful –> beauty (ความสวย)

คำนามที่มาจาก noun

mother –> motherhood (ความเป็นแม่)

friend –> friendship (ความเป็นเพื่อน,มิตรภาพ)

neighbor –> neighborhood (ความเป็นเพื่อนบ้าน)

4.Collective Noun (คำนามที่บอกถึงกลุ่มก้อน) คือคำนามประเภทเฉพาะที่หมายถึงกลุ่มคน สัตว์ สิ่งของ หรือสิ่งของ โดยมีลักษณะเฉพาะ แทนที่จะกล่าวถึงแต่ละบุคคลแยกกัน คำนามรวมเน้นแนวคิดของหน่วยรวม สามารถเป็นได้ทั้ง เอกพจน์ หรือ พหูพจน์ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ ได้แก่ team (ทีม), herd (ฝูง), fleet (กองเรือ), family (ครอบครัว), flock (ฝูง), และ audience (ผู้ชม) เป็นต้น

ตัวอย่าง

A “flock” of birds gracefully took to the sky.   “ฝูง”นกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสง่างาม

The “orchestra” performed a breathtaking symphony. “วงออร์เคสตรา” แสดงซิมโฟนีที่น่าทึ่ง

The “team” celebrated their victory with jubilation.  “ทีม” ฉลองชัยชนะด้วยความปีติยินดี

4.Collective Noun (คำนามที่บอกถึงกลุ่มก้อน) คือคำนามประเภทเฉพาะที่หมายถึงกลุ่มคน สัตว์ สิ่งของ หรือสิ่งของ โดยมีลักษณะเฉพาะ แทนที่จะกล่าวถึงแต่ละบุคคลแยกกัน คำนามรวมเน้นแนวคิดของหน่วยรวม สามารถเป็นได้ทั้ง เอกพจน์ หรือ พหูพจน์ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ ได้แก่ team (ทีม), herd (ฝูง), fleet (กองเรือ), family (ครอบครัว), flock (ฝูง), และ audience (ผู้ชม) 

ตัวอย่าง

A “flock” of birds gracefully took to the sky.   “ฝูง”นกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสง่างาม

The “orchestra” performed a breathtaking symphony. “วงออร์เคสตรา” แสดงซิมโฟนีที่น่าทึ่ง

The “team” celebrated their victory with jubilation.  “ทีม” ฉลองชัยชนะด้วยความปีติยินดี

Collective Noun

5.Compound Noun (คำนามผสม หรือ ประสม) คือ คำที่เกิดจากการรวมแต่ละคำตั้งแต่สองคำขึ้นไปเพื่อสร้างคำนามเดียวคำนามเพื่อให้เกิดความหมายใหม่หรือสิ่งใหม่ สามารถประกอบด้วยคำประเภทต่างๆ เช่น คำนาม คำคุณศัพท์ คำกริยา หรือแม้แต่คำบุพบท

มีสามวิธีหลักในการสร้างคำนามประสม

  • Closed Compound Nouns (คำนามประสมปิด) : ในประเภทนี้ คำที่เป็นส่วนประกอบจะถูกหลอมรวมกันโดยไม่มีการเว้นวรรคหรือยัติภังค์ ทำให้เกิดคำเดียว ตัวอย่างเช่น basketball, notebook และ blueberry
  • Hyphenated Compound Nouns (คำนามผสมยัติภังค์) : คำนามประสมเหล่านี้เกิดจากการเชื่อมคำที่เป็นส่วนประกอบด้วยยัติภังค์ รูปแบบนี้มักจะใช้เมื่อจำเป็นต้องแยกความแตกต่างของคำศัพท์ในคำนามประสม ตัวอย่างเช่น mother-in-law (แม่สามี), well-being (ความเป็นอยู่ที่ดี) และ full-time (งานประจำ)
  • Open Compound Nouns (คำนามประสมแบบเว้นวรรค) : ในกรณีนี้ คำที่เป็นส่วนประกอบจะเขียนเป็นคำแยกกัน โดยเว้นช่องว่างไว้ระหว่างคำทั้งสอง ตัวอย่างเช่น ice cream (ไอศกรีม), post office (ที่ทำการไปรษณีย์) และ high school (โรงเรียนมัธยม)

สามารถแบ่งประเภทความสัมพันธ์ระหว่างคำที่เป็นส่วนประสมได้ดังนี้

  • Noun+Noun Compounds (คำนาม+นามประสม) : ประกอบด้วยคำนามสองคำที่รวมกันเพื่อแสดงความหมายใหม่ ตัวอย่างเช่น treehouse (บ้านต้นไม้) เป็นการประสมกันระหว่าง tree (ต้นไม้) + house (บ้าน)
  • Adjective+Noun Compounds คำคุณศัพท์+คำนามผสม : ประกอบด้วยคำคุณศัพท์และคำนามที่รวมกันเพื่อสร้างคำอธิบายเฉพาะ ตัวอย่างเช่น Red carpet (พรมแดง) และ fast food (อาหารจานด่วน)  
  • Noun+Verb Compounds (คำนาม+คำกริยา) : ประกอบด้วยคำนามและคำกริยาที่รวมกันเพื่อสร้างความหมายใหม่ ตัวอย่างเช่น Sunset (พระอาทิตย์ตก) และ lighthouse (ประภาคาร)

6.Concente Noun (คำนามที่รับรู้จากประสามสัมผัสทั้ง 5 ) คือ คำนามที่เป็นรูปธรรมหมายถึงสิ่งทางกายภาพที่สามารถรับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ sight (การมองเห็น), touch (การสัมผัส), taste (การรับรส), hear (การได้ยิน), หรือ smell (การได้กลิ่น) ไม่เหมือนกับคำนามที่เป็นนามธรรมซึ่งแสดงถึงแนวคิดที่จับต้องไม่ได้ เช่น freedom  (อิสรภาพ) หรือ happiness  (ความสุข) คำนามที่เป็นรูปธรรมจะจัดการกับเนื้อหาและแง่มุมที่สัมผัสได้ของความเป็นจริง ตัวอย่างของคำนามที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ tree (ต้นไม้), apple (แอปเปิ้ล), car (รถยนต์), และ ocean (มหาสมุทร) เนื่องจากคำเหล่านี้แสดงถึงตัวตนที่สามารถสัมผัสได้โดยตรง

7.Mass Noun (คำนามมวลสาร) คือ คำนามประเภทสสารหรือมวลสาร เป็นคำนามบอกถึงสิ่งของที่นับไม่ได้ ทั้งมี และไม่มีตัวตน แทนที่จะแยกเป็นรายบุคคล ได้แก่ water (น้ำ), gold (ทอง), tin (ดีบุก), knowledge (ความรู้), furniture (เฟอร์นิเจอร์), และ music (ดนตรี)คำนามเหล่านี้อธิบายสิ่งที่ไม่สามารถนับตามหน่วยแต่ละหน่วย แต่วัดหรือพิจารณาเป็นกลุ่ม

อ่านเพิ่มเติม : ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
เรื่องราวที่เกี่ยวยข้อง : Part of Speech